ระบบจำนวนเต็ม
คุณสมบัติการบวกและการคูณของจำนวนเต็มบวก
ถ้ากำหนดให้ a , b , c เป็นจำนวนใด ๆ
คุณสมบัติการบวกและการคูณของจำนวนเต็มบวก
ถ้ากำหนดให้ a , b , c เป็นจำนวนใด ๆ
คุณสมบัติการสลับที่การบวก
a + b = b + a ตัวอย่างเช่น 1 + 5 = 5 + 1 = 6 |
คุณสมบัติการสลับที่การคูณ
a x b = b x a ตัวอย่างเช่น 1 x 5 = 5 x 1 = 5 |
คุณสมบัติการเปลี่ยนกลุ่มการบวก
a + ( b + c ) = ( a + b ) + c ตัวอย่างเช่น 1 + ( 2 + 3 ) = ( 1 + 2 ) + 3 = 6 |
คุณสมบัติการเปลี่ยนกลุ่มการคูณ
a x ( b x c ) = ( a x b ) x c ตัวอย่างเช่น 1 x ( 2 x 3 ) = ( 1 x 2 ) x 3 = 6 |
คุณสมบัติการแจกแจง
a x ( b + c ) = ( a x b ) + ( a x c )
ตัวอย่าง เช่น 2 x ( 3 + 4 ) = ( 2 x 3 ) + ( 2 x 4 ) = 14
สิ่งที่น่าสนใจ คือ เราเคยคิดหรือไม่ว่าในเมื่อจำนวนเต็มบวกมีคุณสมบัติการสลับที่สำหรับการบวก แล้วจำนวนเต็มบวกจะมี คุณสมบัติการสลับที่สำหรับการลบหรือไม่ เราลองมาพิจารณาดูประโยคต่อไปนี้
25 - 30 = - 5 แต่ถ้า 30 - 25 = 5 แสดงให้เห็นว่าจำนวนเต็มบวก ไม่มีคุณสมบัติการสลับที่สำหรับการลบ และ จำนวนเต็มบวกมีสมบัติการสลับที่สำหรับการหารหรือไม่ เราลองมาพิจารณาจากประโยคต่อไปนี้
50 ÷ 5 = 10 แต่ถ้า 5 ÷ 50 = 0.1 แสดงให้เห็นว่าจำนวนเต็มบวก ไม่มีคุณสมบัติการสลับที่ สำหรับ การหาร
ค่าสัมบูรณ์ของจำนวนเต็ม
ค่าสัมบูรณ์ของจำนวนใด ๆ คือ ระยะทางที่จำนวนนั้น ๆ อยู่ห่างจากศูนย์ (0) บนเส้นจำนวนไม่ว่าจะอยู่ทางซ้าย หรือทางขวาของศูนย์ ซึ่งค่าสัมบูรณ์ของ จำนวนใด ๆ จะมีค่าเป็นบวกเสมอ กล่าวคือ
1 มีระยะห่างจาก 0 เท่ากับ 1 หน่วย นั้นคือ ค่าสัมบูรณ์ของ 1 เท่ากับ 1
-1 มีระยะห่างจาก 0 เท่ากับ 1 หน่วย นั้นคือ ค่าสัมบูรณ์ของ -1 เท่ากับ 1
ถ้าเราจะพิจารณาบนเส้นจำนวนถึงนิยามของค่าสัมบูรณ์ ก็จะเป็นดังรูป
a x ( b + c ) = ( a x b ) + ( a x c )
ตัวอย่าง เช่น 2 x ( 3 + 4 ) = ( 2 x 3 ) + ( 2 x 4 ) = 14
สิ่งที่น่าสนใจ คือ เราเคยคิดหรือไม่ว่าในเมื่อจำนวนเต็มบวกมีคุณสมบัติการสลับที่สำหรับการบวก แล้วจำนวนเต็มบวกจะมี คุณสมบัติการสลับที่สำหรับการลบหรือไม่ เราลองมาพิจารณาดูประโยคต่อไปนี้
25 - 30 = - 5 แต่ถ้า 30 - 25 = 5 แสดงให้เห็นว่าจำนวนเต็มบวก ไม่มีคุณสมบัติการสลับที่สำหรับการลบ และ จำนวนเต็มบวกมีสมบัติการสลับที่สำหรับการหารหรือไม่ เราลองมาพิจารณาจากประโยคต่อไปนี้
50 ÷ 5 = 10 แต่ถ้า 5 ÷ 50 = 0.1 แสดงให้เห็นว่าจำนวนเต็มบวก ไม่มีคุณสมบัติการสลับที่ สำหรับ การหาร
ค่าสัมบูรณ์ของจำนวนเต็ม
ค่าสัมบูรณ์ของจำนวนใด ๆ คือ ระยะทางที่จำนวนนั้น ๆ อยู่ห่างจากศูนย์ (0) บนเส้นจำนวนไม่ว่าจะอยู่ทางซ้าย หรือทางขวาของศูนย์ ซึ่งค่าสัมบูรณ์ของ จำนวนใด ๆ จะมีค่าเป็นบวกเสมอ กล่าวคือ
1 มีระยะห่างจาก 0 เท่ากับ 1 หน่วย นั้นคือ ค่าสัมบูรณ์ของ 1 เท่ากับ 1
-1 มีระยะห่างจาก 0 เท่ากับ 1 หน่วย นั้นคือ ค่าสัมบูรณ์ของ -1 เท่ากับ 1
ถ้าเราจะพิจารณาบนเส้นจำนวนถึงนิยามของค่าสัมบูรณ์ ก็จะเป็นดังรูป
เราอาจจะใช้สัญลักษณ์ที่ใช้แทนค่าสัมบูรณ์ คือ | | เช่น
| -4 | คือ ค่าสัมบูรณ์ของ -4 คือ 4
| 6 | คือ ค่าสัมบูรณ์ของ 6 คือ 6
โดยสรุปเกี่ยวกับค่าสัมบูรณ์ ถ้า กำหนดให้ a แทนจำนวนใด ๆ แล้ว
ข้อสังเกต 1. จำนวนเต็มลบซึ่งมีค่าน้อยกว่า เมื่อเปลี่ยนเป็นค่าสัมบูรณ์แล้วจะมีค่ามากกว่า เช่น
-25 < -18 แต่ | -25 | > | -18 |
2. ค่าสัมบูรณ์ของจำนวนเต็มลบอาจมากกว่าหรือน้อยกว่าค่าสัมบูรณ์ของจำนวนเต็มบวกก็ได้ขึ้นอยู่กับตัวเลข เช่น | -4 | > | 2 | แต่ -4 < 2
การบวกจำนวนเต็ม
1. จำนวนเต็มบวกกับจำนวนเต็มบวก ถ้าอาศัยเรื่องของค่าสัมบูรณ์
วิธีการ ก็คือ นำค่าสัมบูรณ์ของจำนวนเต็มมาบวกกัน ผลลัพธ์จะออกมาเป็นจำนวนเต็มบวก
2. การบวกระหว่างจำนวนเต็มลบกับจำนวนเต็มลบ ถ้าอาศัยเรื่องของค่าสัมบูรณ์
วิธีการ ก็คือ นำค่าสัมบูรณ์ของจำนวนเต็มมาบวกกัน ผลลัพธ์จะออกมาเป็นจำนวนเต็มลบ
3. จำนวนเต็มบวกกับจำนวนเต็มลบ หรือ จำนวนเต็มลบกับจำนวนเต็มบวก ถ้าอาศัยเรื่องของค่าสัมบูรณ์
หลักการ คือ ให้นำค่าสัมบูรณ์ของจำนวนเต็มทั้งสองมาลบกัน โดยใช้จำนวนที่มีค่าสัมบูรณ์มากเป็นตัวตั้ง ผลลัพธ์จะเป็นจำนวนเต็มบวกหรือลบตามจำนวนที่มีค่าสัมบูรณ์มากกว่า
ข้อสังเกต 1 . ผลบวกของจำนวนเต็มที่มีเครื่องหมายเหมือนกัน จะได้จำนวนที่มีเครื่องหมายเหมือนกับจำนวนที่นำมาบวกกัน
2. ผลบวกของจำนวนเต็มที่มีเครื่องหมายต่างกัน จะได้จำนวนที่มีเครื่องหมายเหมือนกับจำนวนที่มีค่าสัมบูรณ์มากกว่า
การลบจำนวนเต็ม
ถ้าเราพิจารณาผลลัพธ์ของ 5 - 3 และ 5 + ( -3 ) เราจะพบว่า 5 - 3 = 2 และ 5 + ( -3 ) = 2
นั้นคือ 5 - 3 = 5 + (-3)
แสดงว่า การลบจำนวนเต็มเราสามารถหาได้ในรูปของการบวก ถ้าเราสังเกต 3 และ-3 เราจะเห็นว่า จำนวนดังกล่าวเป็นจำนวนตรงข้ามซึ่งกันและกัน จึงสรุปได้ว่า
ตัวตั้ง - ตัวลบ = ตัวตั้ง + จำนวนตรงข้ามของตัวลบ
หมายเหตุ การเปลี่ยนรูปแบบในการลบจำนวนเต็มในรูปของการบวก
การหารจำนวนเต็ม
เราทราบว่า 6 ÷ 3 = 2 โดยเราสามารถตรวจสอบผลหารโดยอาศัยความรู้การคูณ
กล่าวคือ 6 ÷ 3 = 2 นั้นคือ 6 = 2 x 3 = 6 ตามหลักการที่ว่า
ตัวตั้ง = ตัวหาร x ผลหาร
ดังนั้นความรู้ในจุดนี้เราสามารถนำไปใช้ในการหารจำนวนเต็ม หรือเราอาจจะกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า การหารจำนวนเต็มอาศัยความรู้พื้นฐานการคูณจำนวนเต็ม
สรุป 1. จำนวนเต็มชนิดเดียวกันหารกันได้ผลลัพธ์เป็นจำนวนเต็มบวก
2. จำนวนเต็มคนละชนิดกันหารกันได้ผลลัพธ์เป็นจำนวนเต็มลบ
การคูณจำนวนเต็ม
1. การคูณระหว่างจำนวนเต็มบวกกับจำนวนเต็มลบ การคูณระหว่างจำนวนเต็มบวกกับจำนวนเต็มลบ นั้นให้เอาเลขโดดคูณกัน แล้วตอบเป็น จำนวนเต็มลบ
ตัวอย่างเช่น 1. 4 x (-3) = (-12) 2. (-1) x 3 = (-3)
2. การคูณระหว่างจำนวนเต็มลบกับจำนวนเต็มลบ ถ้า 6 + (-6) = 0
แสดงว่า (-2) x (-3) ต้องให้ค่าออกมาเป็นบวก โดยในที่นี้ก็คือ 6
ดังนั้น ผลคูณระหว่างจำนวนเต็มลบกับจำนวนเต็มลบ ได้ผลลัพธ์เป็น จำนวนเต็มบวก
ตัวอย่างเช่น 1. (-3) x (-2) = 6 2. (-5) x (-4) = 20
ข้อสังเกต 1. ผลคูณของจำนวนเต็มชนิดเดียวกันให้ค่าผลคูณเป็นจำนวนเต็มบวก
2. ผลคูณของจำนวนเต็มต่างชนิดกันให้ค่าผลคูณเป็นจำนวนเต็มลบ
ศูนย์และจำนวนเต็มบวก
ศูนย์ ( ใช้สัญลักษณ์ "0" ) เป็นจำนวนเต็มอีกชนิดหนึ่ง ที่เราไม่ถือว่าเป็นจำนวนนับ จากหลักฐานที่ค้นพบทำให้เราทราบว่ามนุษย์รู้จักใช้สัญลักษณ์ "0" ในราวปี ค.ศ. 800 โดยที่ "0" แทนปริมาณของการไม่มีของหรือของที่ต้องการกล่าวถึง แต่ก็ไม่ใช่ว่า 0 จะไม่มีความหมายถึงการไม่มีเสมอไป ตัวอย่างเช่น ระดับผลการเรียนทางด้านความรู้ โดยนักเรียนที่มีระดับผลการเรียนเป็น 0 ไม่ได้หมายความว่านักเรียนคนนั้นไม่มีความรู้ เพียงแต่ ว่ามีความรู้ในระดับหนึ่งเท่านั้นจำนวนเต็มบวก หรือ จำนวนนับ คือ จำนวนเต็มที่มีค่ามากกว่า 0 ไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่สามารถระบุได้ว่าจำนวนนับตัวสุดท้ายเป็นอะไร จำนวนนับเริ่มต้นที่ 1 , 2 , 3, ... ซึ่งเราทราบแล้วว่า จำนวนนับที่น้อยที่สุด คือ 1 จำนวนนับที่มากที่สุดหาไม่ได้คุณสมบัติของศูนย์และหนึ่ง ถ้าเราสมมติให้ a แทนจำนวนใด ๆ จะได้ว่า
ประโยค
|
ตัวอย่างประโยค
|
0 + a = a + 0 = a
|
0 + 5 = 5
|
0 x a = a x 0 = 0
|
0 x 5 = 0
|
0 ÷ a = 0 เมื่อ a ไม่เท่ากับ 0
|
0 ÷ 5 = 0
|
0 ÷ 0 ได้ผลลัพธ์มากมาย
|
0 ÷ 0 = 5
|
a ÷ 0 ไม่มีความหมาย
|
5 ÷ 0 ไม่มีความหมาย
|
a x 1 = 1 x a = a
|
5 x 1
|
จำนวนเต็มลบ
จำนวนเต็มลบ คือ จำนวนที่มีค่าน้อยกว่า ศูนย์ มีตำแหน่งอยู่ทางด้านซ้ายมือของศูนย์เมื่ออยู่บนเส้นจำนวน และ จะมีค่าลดลงเรื่อย ๆ โดยไม่สามารถจะบอกได้ว่าจำนวนใดจะมีค่าน้อยที่สุด แต่เราสามารถรู้ได้ว่าจำนวนเต็มลบที่มีค่ามากที่สุด คือ -1 เราพอจะสรุปลักษณะที่สำคัญของจำนวนเต็มลบได้ดังนี้
1. จำนวนเต็มลบเป็นจำนวนที่มีค่าน้อยกว่าศูนย์ หรือถ้ามองบนเส้นจำนวน ก็คือ เป็นจำนวนที่อยู่ทางซ้ายมือของศูนย์
2. จำนวนเต็มลบที่มีน้อยที่สุดไม่สามารถหาได้ แต่ จำนวนเต็มลบที่มีค่ามากที่สุด คือ -1
3. ตัวเลขที่ตามหลังเครื่องหมายลบ ยิ่งมีค่ามากขึ้นจำนวนเต็มลบนั้นจะมีค่าน้อยลง
กล่าวคือ ...-5 < -4 < -3 < -2 < -1
4. จากข้อ 3 อาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งโดยดูจำนวนต่าง ๆ บนเส้นจำนวน จะได้ว่า จำนวนที่อยู่ทางซ้ายต้องมีค่าน้อยกว่าจำนวนที่อยู่ทางขวามือเสมอ
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjV26SJ9Xx4lklRXrjao5GOV1isos4j8rpQPyir89T5_20cfaQnpNNkauXq83ixhT3MskvrNEkP4AwWHUv-1TAynkjMpbzmtEwQjqCVXCXhnGjl-XFusv2G3XP9BJi_UDG-XJPSJFb10cc/s320/%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25873.JPG)
จากเส้นจำนวน เราจะเห็นว่า ...-4 < -3 < -2 < -1 < 0 < 1< 2 < 3 < 4...
นั้นคือ จำนวน ที่อยู่ทางซ้ายมือจะมีค่าน้อยกว่าจำนวนที่อยู่ทางขวามือเสมอ
ตัวอย่าง จงเขียนจำนวนเต็มต่อไปนี้
จากน้อยไปมาก -8 , -2 , 0 , 2 , 5 , -10 เรียงจากน้อยไปมาก จะได้ -10 , -8 , -2 , 0 , 2 , 5
ตัวอย่าง จงเขียนจำนวนต่อไปนี้
จากมากไปน้อย 7 , 8 , 6 , -8 , -7 , -6 เรียงจากมากไปน้อย จะได้ 8 , 7 , 6 , -8 , -7 , -6
ข้อสังเกต ในการเรียงลำดับจำนวนเต็มให้เรามองแยกจำนวนออกเป็นกลุ่ม ๆ ก่อน แล้วดูตำแหน่งจำนวนในแต่ละกลุ่มเทียบกันบนเส้นจำนวน โดยที่จำนวนที่อยู่ทางซ้ายมือจะมีค่าน้อยกว่าจำนวนที่อยู่ทางขวามือเสมอ หรือ จำนวนที่อยู่ทางขวามือจะมีค่ามากกว่าจำนวนที่อยู่ทางซ้ายมือเสมอ
จำนวนตรงข้าม
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi8hXItEtYvdJAAwE0e-hN6qM996bN2WGhtzY8x8F58SzlT96T-qS7YyCcesL0bcD2CFEagCj5MaO5tveXA7xc5vXw7tjtMJyWXM1SyjMdDAeimaaxPXFs5_W96t5EjD0cCafD5_MSqPiY/s320/%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25874.JPG)
จากเส้นจำนวนและความหมายของค่าสัมบูรณ์ ในเนื้อหาก่อนหน้านี้ จะพบว่า จำนวนเต็มลบและจำนวนเต็มบวกที่มีค่าสัมบูรณ์เท่ากัน จะอยู่คนละข้างและห่างจาก 0 เท่ากัน
อย่างเช่น | -5 | = 5 และ | 5 | = 5 เราอาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า
-5 เป็นจำนวนตรงข้ามของ 5 และ 5 เป็นจำนวนตรงข้ามของ -5
จำนวนเต็มลบ คือ จำนวนที่มีค่าน้อยกว่า ศูนย์ มีตำแหน่งอยู่ทางด้านซ้ายมือของศูนย์เมื่ออยู่บนเส้นจำนวน และ จะมีค่าลดลงเรื่อย ๆ โดยไม่สามารถจะบอกได้ว่าจำนวนใดจะมีค่าน้อยที่สุด แต่เราสามารถรู้ได้ว่าจำนวนเต็มลบที่มีค่ามากที่สุด คือ -1 เราพอจะสรุปลักษณะที่สำคัญของจำนวนเต็มลบได้ดังนี้
1. จำนวนเต็มลบเป็นจำนวนที่มีค่าน้อยกว่าศูนย์ หรือถ้ามองบนเส้นจำนวน ก็คือ เป็นจำนวนที่อยู่ทางซ้ายมือของศูนย์
2. จำนวนเต็มลบที่มีน้อยที่สุดไม่สามารถหาได้ แต่ จำนวนเต็มลบที่มีค่ามากที่สุด คือ -1
3. ตัวเลขที่ตามหลังเครื่องหมายลบ ยิ่งมีค่ามากขึ้นจำนวนเต็มลบนั้นจะมีค่าน้อยลง
กล่าวคือ ...-5 < -4 < -3 < -2 < -1
4. จากข้อ 3 อาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งโดยดูจำนวนต่าง ๆ บนเส้นจำนวน จะได้ว่า จำนวนที่อยู่ทางซ้ายต้องมีค่าน้อยกว่าจำนวนที่อยู่ทางขวามือเสมอ
จากเส้นจำนวน เราจะเห็นว่า ...-4 < -3 < -2 < -1 < 0 < 1< 2 < 3 < 4...
นั้นคือ จำนวน ที่อยู่ทางซ้ายมือจะมีค่าน้อยกว่าจำนวนที่อยู่ทางขวามือเสมอ
ตัวอย่าง จงเขียนจำนวนเต็มต่อไปนี้
จากน้อยไปมาก -8 , -2 , 0 , 2 , 5 , -10 เรียงจากน้อยไปมาก จะได้ -10 , -8 , -2 , 0 , 2 , 5
ตัวอย่าง จงเขียนจำนวนต่อไปนี้
จากมากไปน้อย 7 , 8 , 6 , -8 , -7 , -6 เรียงจากมากไปน้อย จะได้ 8 , 7 , 6 , -8 , -7 , -6
ข้อสังเกต ในการเรียงลำดับจำนวนเต็มให้เรามองแยกจำนวนออกเป็นกลุ่ม ๆ ก่อน แล้วดูตำแหน่งจำนวนในแต่ละกลุ่มเทียบกันบนเส้นจำนวน โดยที่จำนวนที่อยู่ทางซ้ายมือจะมีค่าน้อยกว่าจำนวนที่อยู่ทางขวามือเสมอ หรือ จำนวนที่อยู่ทางขวามือจะมีค่ามากกว่าจำนวนที่อยู่ทางซ้ายมือเสมอ
จำนวนตรงข้าม
จากเส้นจำนวนและความหมายของค่าสัมบูรณ์ ในเนื้อหาก่อนหน้านี้ จะพบว่า จำนวนเต็มลบและจำนวนเต็มบวกที่มีค่าสัมบูรณ์เท่ากัน จะอยู่คนละข้างและห่างจาก 0 เท่ากัน
อย่างเช่น | -5 | = 5 และ | 5 | = 5 เราอาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า
-5 เป็นจำนวนตรงข้ามของ 5 และ 5 เป็นจำนวนตรงข้ามของ -5
ข้อควรทราบ 0
เป็นจำนวนตรงข้ามของตัวมันเองในการเขียนจำนวนตรงข้าม เราสามารถกระทำได้
กล่าวคือ 1.จำนวนตรงข้ามของ 10 เขียนแทนด้วย -10
2. จำนวนตรงข้ามของ -3 เขียนแทนด้วย -(-3) แต่จำนวนตรงข้ามของ -3
คือ 3 ดังนั้น -(-(3) = 3
กล่าวคือ 1.จำนวนตรงข้ามของ 10 เขียนแทนด้วย -10
2. จำนวนตรงข้ามของ -3 เขียนแทนด้วย -(-3) แต่จำนวนตรงข้ามของ -3
คือ 3 ดังนั้น -(-(3) = 3